ทำความรู้จัก! การตัดวัสดุและเครื่องจักรในอุตสาหกรรม 4.0

ากแรงขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ความเป็นเมืองในโลกขยายตัวหลายแห่ง ทําให้ ประชากรมีรายได้สูงขึ้นต้องการความเป็นอยู่ที่ดี และเกิดความต้องการสินค้าบริการที่มีความซับซ้อน คุณภาพสูงสิ่งเหล่านี้ สะท้อนไปยังทั้ง อุปสงค์และอุปทานของสินค้าในโลก ประเทศผู้ ส่งออกที่ขาดแคลนแรงงาน จึงจําเป็นต้องหันไปหา เครื่องจักรอัตโนมัติ เข้ามาแทนแรงงานคนในการผลิตสินค้าและต้องปรับตัวไปผลิตสินค้าปริมาณมากเฉพาะกลุ่มหรือที่เรียกว่า “Mass Customization” ซึ่งเป็นที่มาของ การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุค 4.0 หรือ Industry 4.0 (I4.0) ในปัจจุบัน

I4.0 ทําให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพได้อย่างไร?

I4.0 ในบริบทของประเทศไทยก็ไม่ต่างจากประเทศต่าง ๆ ข้างต้น I4.0 ประกอบด้วย 9 เทคโนโลยีสําคัญ ได้แก่ หุ้นยนต์ อัตโนมัติ (Autonomous Robots), การสร้างแบบจําลอง (Simulation), การบูรณาการระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (System Integration), การเชื่อมต่อ อินเตอร์ เน็ตของอุปกรณ์ (Internet of Things), การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Cyber Security), การประมวลและเก็บข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ (Cloud Computing), การขึ้นรูปชิ้นงานด้วยเนื้อวัสดุ (Additive Manufacturing), เทคโนโลยีเสมือนจริง (Augmented Reality) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยมีการคาดการณ์ว่า เมื่อนําเทคโนโลยี I4.0 เข้ามาใช้ ในภาคอุตสาหกรรมนั้นจะก่อให้เกิดผลิตภาพในการผลิตอย่างมาก ส่งผลให้ สามารถยกระดับทางเศรษฐกิจและการเจริญเติบโต และจะนําไปสู่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ในที่สุด

อุตสาหกรรมในยุค 4.0

กว่าจะเป็น อุตสาหกรรมในยุค 4.0 ต้องย้อนอดีตไปราว 230 ปีก่อน โลกของเราเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง และสาม มาเรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงครั้งที่สี่ในปัจจุบัน แต่ละยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอะไรบ้าง เรามาทำความรู้จักอย่างละเอียด

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 (Industrial Revolution 1.0)

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษช่วงปี ค.ศ. 1760 หรือ 258 ปีก่อน เป็นการปฏิวัติจากแรงงานคนและสัตว์มาเป็น “เครื่องจักรไอน้ำ” ทำให้งานที่ต้องใช้แรงงานซ้ำ ๆ ถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรไอน้ำและใช้ถ่านหินเป็นพลังงานทางการผลิต ในยุคนี้มีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือ “” การทอผ้าจากที่เคยเป็นเรื่องยากใช้เวลาในการทำและใช้แรงงานคนมากมาย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นการใช้เครื่องจักรไอน้ำทำให้เสื้อผ้ามีราคาที่ถูกลงผู้คนเข้าถึงสินค้าที่ดีในราคาที่ถูกได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกันการปฏิวัติครั้งนี้ก็ส่งผลกระทบต่ออาชีพแรงงาน เช่น แรงงานทอผ้ามากมายในประเทศอังกฤษค่อย ๆ หายไป

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (Industrial Revolution 2.0)

ยุคพลังงานใหม่จากน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า การผลิตเป็นระบบสายพานที่เน้นการผลิตแบบ Mass Production ในปริมาณมากและรวดเร็ว แรงงานเข้ามาทำงานในระบบโรงงานที่ใหญ่มากขึ้น

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 (Industrial Revolution 3.0)

มีการนำเอา IT (Information Technology) และคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรม ทำให้เกิดเครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ แรงงงานบางส่วนจึงถูกหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนที่

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industrial Revolution 4.0)

การนำเทคโนโลยีดิจิตัลและอินเทอร์เน็ต เป็นการนำเอาโลกของการผลิต มาเชื่อมต่อกับเครือข่ายในรูปแบบ IoT (Internet of Things) ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตสินค้าเชื่อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล การนำสินค้าไปเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี รวมไปถึงการทำงานของแรงงานที่ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยให้งานผลิตสำเร็จได้รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

จุดเด่นของอุตสาหกรรมในยุค 4.0 คือการที่เครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติสามารถเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเครือข่ายผ่านอินเตอร์เน็ต จึงสามารถแบ่งปันข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด รวมทั้งสามารถใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกันได้ เครื่องจักรกลในอุตสาหกรรมในยุค 4.0 จะมีความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านการทำงานด้วยตนเอง ความยืดหยุ่นและการปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขการผลิต มีความสามารถในการตรวจสอบและคาดการณ์ล่วงหน้าได้ นอกจากนี้เครื่องจักรในอนาคตจะมีโปรแกรมสำหรับตรวจสอบและดูแลสุขภาพของเครื่องจักร เพื่อยืดอายุการทำงานของเครื่องจักร อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนการผลิตและประเมินประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร กล่าวคือ เครื่องจักรจะมีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้นนั่นเอง

นอกจากตัวเครื่องจักรที่เป็นอัจฉริยะแล้วอุตสาหกรรมในยุค 4.0 ก็จะมีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้นด้วย โดยที่โรงงานอัจฉริยะจะสามารถกำหนดและระบุกิจกรรมเงื่อนไขรวมทั้งสภาพแวดล้อมของการผลิต สามารถสื่อสารกับหน่วยอื่นๆ ได้อย่างอิสระแบบไร้สาย สามารถผลิตสินค้าตามคำสั่งโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น เวลา ต้นทุนการผลิต ค่าขนส่ง การรักษาความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ เป็นระบบการผลิตที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด

พัฒนาของการตัดและการเย็บแบบอัตโนมัติ ( Automated Cutting & Sewing Developments )

ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายในปัจจุบัน เป็นสินค้าที่เหมาะสำหรับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก การเลือกเส้นใยเพื่อดำเนินการผลิตเส้นด้าย และผ้า เพื่อนำมาทำการผลิตเครื่องนุ่งหุ่ม และส่วนตกแต่งภายนอกมักจะใช้เครื่องหนังหรือผ้าต่างๆแต่การดำเนินการผลิตเครื่องแต่งกายหรือเครื่องหนัง ต้องใช้แรงงานจำนวนมากและใช้เวลาในการผลิตและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ตลาดมีความต้องการที่สูงขึ้นหลายโรงงานอุตสาหกรรมจึงต้องมองช่องทางการผลิตทางเลือกอื่นและกระบวนการตัดและการเย็บแบบอัตโนมัติ ก็คืออีกทางเลือกหนึ่งระบบอัตโนมัติช่วยเพิ่มผลพลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยลดการแทรกแซงของมนุษย์ เพื่อลดและป้องกันความพิดพลาดในการผลิตได้

เครื่องตัดคืออะไร ?

เครื่องตัด คืออุปกรณ์ที่ใช้เพื่อตัดหรือเฉือนวัสดุ ให้มีรูปร่างตามจุดประสงค์การนำไปใช้ เครื่องตัดเป็นอุปกรณ์ซึ่งมักใช้พลังงานจากไฮดรอลิกส์มอเตอร์ไฟฟ้าหรือวิธีการขั้นสูงอื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อตัดวัสดุที่หลากหลาย โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของเครื่องมือเครื่องตัดคือการสร้างโลหะซึ่งไม่สามารถตัดหรือขึ้นรูปได้ง่ายด้วยเครื่องมือช่าง มีหลายร้อยประเภทของการออกแบบเครื่องมือตัดกลึงซึ่งส่งผลให้พวกเขาถูกจัดประเภทตามประเภทของการตัดพวกเขาทำ การจำแนกประเภททั่วไปรวมถึงเครื่องกลึงที่ออกแบบมาเพื่อทำการตัดแบบโรตารี่รอบแกนแนวนอนเครื่องคว้านและเจาะเพื่อตัดรูหรือช่องในพื้นผิวและ Knurlers และ Flangers ที่ตัดลูกปัดและสันเขาลงสู่พื้นผิว

เนื่องจากข้อกำหนดของเครื่องมือเครื่องตัดมักจะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ วัสดุที่มีความเหนียวเช่นโลหะหรือหนังเทคโนโลยีศตวรรษที่ 21 ได้ผ่านพ้นไปด้วยการใช้บิตโรตารี่และเลื่อยทั่วไปในการสร้างรูปร่างวัสดุ เครื่องมือเครื่องจักรหลายประเภทใช้ระบบความร้อนพลาสม่าและระบบตัดแก๊สและบางประเภทก็ใช้เลเซอร์พลังงานสูง เครื่องมือเครื่องตัดอุณหภูมิสูงเช่นเครื่องตัดพลาสม่าสร้างอาร์คของพลาสมาพลาสมาที่แตกตัวเป็นไอออนที่ประมาณ 20,000 °ฟาเรนไฮต์ (11,000 องศาเซลเซียส) ซึ่งร้อนกว่าไฟฉาย Oxyacetylene มากกว่าสามเท่า เครื่องมือราคาแพงเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยโปรแกรมควบคุมตัวเลขคอมพิวเตอร์ (CNC) เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการตัดมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง

เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ใช้ในการออกแบบเครื่องมือเครื่องตัด ได้แก่ การตัดด้วยน้ำและการตัดด้วยน้ำมันและการใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ เครื่องตัดด้วยพลังน้ำมีประสิทธิภาพมากสามารถตัดหินแกรนิตและสามารถบรรลุระดับความแม่นยำ 0.005 นิ้ว (0.013 มิลลิเมตร) พวกเขาทำงานโดยการปั๊มน้ำที่มีสารกัดกร่อนที่พื้นผิวที่ใดก็ได้จาก 40,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) (276 mega-pascals) ถึง 100,000 PSI (689 MPa) เครื่องอัลตร้าซาวด์ทำงานโดยการตั้งค่าการสั่นสะเทือนความถี่สูงในวัสดุที่ถูกตัดและใช้ในการตัดทั้งผ้าและโลหะ

การใช้เครื่องมือเครื่องตัดจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีความซับซ้อนปรับแต่งและมีราคาแพง การฝึกอบรมการควบคุมเชิงตัวเลขคอมพิวเตอร์ (CNC) เพื่อใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการเปิดสอนผ่านหลักสูตรต่างๆในวิทยาลัยชุมชนและโรงเรียนเทคนิคทั่วโลก บ่อยครั้งที่การซื้อเครื่องมือเครื่องตัดจะทำให้ผู้ผลิตข้ามชาติเสนอการฝึกอบรมในสถานที่ที่ได้รับการรับรองสำหรับพนักงานที่จะใช้งาน

อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องตัดอัตโนมัติก็เริ่มที่จะโดดเด่นบนพื้นโรงงาน ระบบหุ่นยนต์มักจะถูกนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์นี้เนื่องจากการตัดโลหะที่มีกำลังสูงและรวดเร็วอาจเป็นกระบวนการที่อันตราย เวทีนี้มักจะหันไปออกแบบเครื่องตัดเลเซอร์สำหรับเครื่องมือเครื่องตัดโดยประมาณว่าในปี 2008 ยอดขายของระบบตัดด้วยเลเซอร์มากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (USD) คาดว่าภายในปีเดียวกัน 45% ของการตัดวัสดุแผ่นทั้งหมดในเอเชีย 37% ของประเทศในยุโรปและ 17% ในประเทศแถบอเมริกาเหนือเช่นสหรัฐอเมริกาและแคนาดาทำโดยบางรูปแบบ ของเครื่องมือเครื่องตัดด้วยเลเซอร์

และในบทความนี้ MICAP ขอแนะนำเครื่องตัดอัตโนมัติที่มีความสำคัญในยุค 4.0 หรือ Industry 4.0 (I4.0) ดังนี้…

เครื่องตัดวัสดุสังเคราะห์อัตโนมัติ ( Synthetic Cutting )

เครื่องตัดวัสดุสังเคราะห์อัตโนมัติ

เป็นเครื่องจักรที่สามารถนำไปใช้กับงานอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ เช่น ตัดพื้นรองเท้า ตัดเบาะ ตัดยาง ตัดพรม ตัดโฟมและฟองน้ำ เครื่องกีฬาต่างๆ เป็นต้น

จุดเด่นของเครื่องจักร

– ลดความซับซ้อนของขั้นตอนผลิตทั้งหมด

– สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว

– ประหยัดกำลังคน วัสดุ และพื้นที่การผลิต

เครื่องตัดหนังอัตโนมัติ ( Leather Cutting )

เครื่องตัดหนังอัตโนมัติ

เป็นเครื่องจักรที่เหมาะสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ที่โรงงานส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้งาน เช่น ตัดกระเป๋าหนัง ตัดรองเท้า ตัดเฟอร์นิเจอร์

ตัดเบาะหนัง เครื่องกีฬาต่างๆ เป็นต้น

จุดเด่นของเครื่องจักร

– การตัด การเจาะ การทำเครื่องหมาย ใช้เพียงแค่หัวตัดเดียวในทุกขั้นตอน

– ผลิตงานขนาดใหญ่ได้หลากหลายรูปแบบ

– มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพในการตัดสูง

จากที่แนะนำไปข้างต้นทุกท่านคงจะทราบแล้ว เครื่องจักรอุตสากรรมในยุค 4.0 มีเครื่องจักรที่มีความสำคัญต่องานอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก และในบทความต่อไปเราจะพาลงลึกถึง เครื่องตัดผ้าประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตเครื่องนุ่งห่ม MICAP เราคือผู้นำด้านการตัดวัสดุ Non-Metal ทุกชนิดมานานมากกว่า 42 ปี

เรามีความมุ่งมั่นในการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเราออกแบบเครื่องจักรแต่ละเครื่องเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมและทุกสายผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งมีบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ และมีความพร้อมในการบริการลูกค้าอยู่เสมอ